คาเตนัชโช่ที่หายไป ก่อนที่จะอิตาลี จะผงาดครอบครองแชมป์ยูโร 2020 ไปครอบครองได้อย่างมากใหญ่นั้น

คาเตนัชโช่ที่หายไป ก่อนที่จะอิตาลี จะผงาดครอบครองแชมป์ยูโร 2020 ไปครอบครองได้อย่างมากใหญ่นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขานับว่าเป็นหนึ่งในยักษ์ที่หลับไหลมาอย่างช้านาน ภายหลังจากห่างหายจากการบรรลุผลมาเกินทศวรรษ

โดยนับจากที่ได้แชมป์เวิล์ด คัพ ในปี 2006 พวกเขาก็ไม่ใกล้เคียงที่จะคว้าชัยชนะรายการระดับเมเจอร์ได้เลย แน่นอนว่าสไตล์การเล่นที่ขึ้นชื่อลือชาของแวดวงลูกหนังแดนรองเท้าบูทเป็นสไตล์การเล่นแบบ “คาเตนัชโช่” ที่เน้นย้ำการเล่นแบบแน่นแฟ้น

รวมทั้งมีทีเด็ดอยู่ที่ การสวนกลับ สำหรับในการกระซวก ประตูคู่ต่อสู้ แบบไม่ทันตั้งตัว ก็เลยทำให้ส่วนมากจะย้ำไป ที่การเน้นเรื่องผลที่เกิดขึ้น จากการแข่งขันมากยิ่งกว่า จะเป็นการยิงคู่ต่อสู้ แบบถล่มทลาย

ถึงกระนั้น อิตาลีในปัจจุบันนั้นกลับต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเกือบจะไม่เหลือกตาลิ่นอายของสไตล์การเล่นอย่างงี้อยู่เลย ตั้งแต่แมื่อที่ โรกางร์โต้ มันชินี่เข้ามาจับบังเหียนแทน จานปิเอโร่ เวนตูร่า ตั้งแต่ปี 2018

โดยผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอิตาเลียนรายนี้เข้ามาปลุกชีพทีมให้กลับมาเบิกบานใจได้อีกที อย่างไรก็แล้วแต่อดีตกาลที่ปรึกษา แมนฯ ซิตี้ เข้ามาเปลี่ยนทั้งยังสไตล์ แล้วก็ระบบการเล่นที่ปรับมาใช้ 4-3-3 แทนที่จะเป็น 5-3-2 ที่เป็นแผนหลักของอิตาลี มาอย่างยาวนาน

รวมทั้งใช้แนวทางการบีบเพรสซิ่งคู่ปรปักษ์อย่างใจร้าย พร้อมมีการครอบครองบอลที่แน่นแฟ้น ในขณะที่ฟูลแบ็กสองฝั่งมีส่วนกับเกมรุกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในศึกยูโรครั้งนี้ โดยยิ่งไปกว่านั้นการเติมเล่นรุกแบบสุดสนุกของ เลโอนาร์โด สปินาซโซล่า ตัวบุกปีกซ้ายของกลุ่มที่มีส่วนกับแนวรุกของทีมอย่างเห็นได้ชัด

จากสถิติบอกว่าใน 12 เกมที่มันชินี่ นำกลุ่มเจอกับทีมท็อป 30 ในอันดับแรงกิ้งพวกเขามีค่าเฉลี่ยการครอบครองบอลต่อเกมอยู่ที่ 59 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเพียงแต่สองเกมแค่นั้นกับ ฝรั่งเศส แล้วก็ เนธอร์แลนด์ ที่พวกเขาครอบครองบอลด้อยกว่า

ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมากยิ่งกว่าในสมัยของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่คุมทีมระหว่างปี 2014-16 โดยที่มีค่าเฉลี่ยการครอบครองบอลต่อเกมอยู่ที่ 46 เปอร์เซ็นต์ จากการลงเล่น 11 แมตช์กับทีมท็อป 30 ในอันดับแรงกิ้ง ระหว่างที่ในยูโรครั้งนี้นั้นกลุ่มของมันชินี่ มีค่าเฉลี่ยการครอบครองบอลอยู่ที่ 53.6 ต่อเกม ข่าวกอล์ฟ

คาเตนัชโช่ที่หายไป

แชมป์เวิล์ด คัพ ในปี 2006 พวกเขาก็ไม่ใกล้เคียงที่จะคว้าชัยชนะรายการระดับเมเจอร์ได้

คาเตนัชโช่ที่หายไป ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดอันดับที่ 4 ด้อยกว่า เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน รวมทั้ง สเปน นอกเหนือจากนั้น อิตาลีเปลี่ยนเป็นกลุ่มซึ่งสามารถยิงคู่แข่งขันต่อเกมได้อย่างขาดลอย เหมือนกันกับที่มันชินี่ เคยทำเป็นกับอีกทั้งการควบคุม แมนฯ ซิตี้

หรือ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งเขาเอามาประยุกต์กับทีมชุดนี้ได้อย่างพอดี และก็สามารถรีดความสามารถของบรรดาลำแข้งแนวรุกออกมาได้อย่างดียิ่งโดยยิ่งไปกว่านั้นนักฟุตบอลอย่าง ชิโร่ อิมโมบิเล่ ที่กลับมายิงระเบิดในสมัยของมันชินี่

โดยการทำไปแล้ว 8 ประตูจาก 21 นัดหมาย สวนทางกับในสมัยของ เวนตูร่า ที่ทำเป็นเพียงแค่ 7 ประตูจาก 32เกม นับจากที่มันชินี่ เข้ามาจับบังเหียนในเดือนพฤษภาคมปี 2018 อิตาลีกระซวกคู่แข่งไปถึง 92 ประตูจาก 39เกม

โดยคิดเป็นค่าถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.48 ประตูต่อเกม ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลยกับกองทัพ “อัซซูรี่” แม้กระนั้นกว่า มันโช่ จะสามารถพาอิตาลี กลับมาอยู่ในจุดสุดยอดอีกรอบด้วยการครอบครองแรงวยุโรปได้เป็นครั้งแรกในรอบ 53ปี

พวกเขาเคยจำต้องตกไปอยู่ในจุดย่ำแย่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์มาแล้วในสมัยของผู้จัดการทีม จานปิเอโร่ เวนตูร่า ที่ไม่อาจจะพาทีมตีตั๋วไปเล่นบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียได้ ภายหลังจากไม่ผ่านรอบคัดด้วยการโดน สวีเดน เขี่ยไม่เข้ารอบไปอย่างช็อกโลก

ซึ่งเป็นครั้งแรก ที่พวกเขาไม่ได้ไป เล่นฟุตบอลโลกรอบท้ายที่สุด ตั้งแต่ปี 1958 แถมสไตล์การเล่นในสมัยของ เวนตูร่า นั้นเจ้าตัวโดนวิภาควิจารณ์อย่างมากกับสไตล์การเล่นที่น่าระอา บอลไม่มีทรงทำประตูคู่ปรปักษ์ได้ยาก

และก็ตั้งความหวัง กับผู้เล่นประสบการณ์สูง เยอะเกินไป แน่ๆว่าเรื่องดัง ที่ได้กล่าวมาแล้ว สร้างความชอกช้ำ ให้กับแฟนบอล และก็ทำให้กลุ่ม มีการเปลี่ยนอีกรอบ เป็นการนำมันชินี่ เข้ามาจับบังเหียน เพื่อทำการกอบกู้ ทีมขึ้นมาอีกรอบ กับภารกิจลุยศึกยูโร 2020 และก็ฟุตบอลโลก2022

“ผมเข้ามารับงาน ในทีมชาติอิตาลี ด้วยเหตุการณ์ ที่ล้มเหลว แล้วก็ต่ำที่สุด ในรอบ 50ปี รวมทั้งผมมีความคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจำเป็นต้องทำอะไร ที่มันผิดแผก แตกต่างออกไป จากสิ่งเดิมๆ ที่พวกเราเคยทำ” มันชินี่เคยกล่าวเอาไว้

รวมทั้งถึงวันนี้เขาได้พิสูจน์ ให้มองเห็นแล้วว่า สามารถพาอิตาลี กลับมาเปลี่ยน เป็นทีมเบอร์ต้นๆ ของยุโรปได้อีกรอบ และก็งานถัดไปเป็นการลุยศึกฟุตอบอลโลก2022 ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งไม่ว่าจะไป ถึงฝั่งฝันได้หรือเปล่า แต่ว่ามันชินี่ ได้ปลุกยักษ์หลับให้ตื่นมาอีกทีแล้ว ไม่เฟคนิวส์